แล้วก็มาถึงกับสุดยอดมือถือจาก Huawei ที่การันตีเรื่องคุณภาพและนวัตกรรมใหม่ๆ ด้วยการเปิดตัวมือถือเรือธงของตัวเอง ที่มาด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น Mate 30, Mate 30 Pro, Mate 30 RS พร้อมลูกเล่นและฟีเจอร์ไม้เด็ดมากมายหลายอย่าง เอาใจแฟนๆ จำนวนมากเลยทีเดียว
ตัว Mate 30 มาด้วยหน้าจอ 6.62 นิ้ว พร้อมความละเอียด 2340×1080 pixel ในแบบ OLED แต่ขอบหน้าจอจะเป็นแบบธรรมดาไม่ได้โค้งเหมือน 2 รุ่นท็อปที่ออกมาพร้อมกัน
สำหรับตัวท็อป Mate 30 Pro ใช้หน้าจอขนาด 6.53 นิ้ว ความละเอียด 2400×1176 pixel มาด้วยจอ OLED และมีฟีเจอร์ Always-on และ พร้อมกับจอโค้งมากถึง 88 องศา เรียกได้ว่าโค้งมากที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนเรือธงตอนนี้
สำหรับ Mate 30 ตัวนี้มาพร้อมกับความเร็วระดับสูงสุด ด้วย Kirin 990 5G ผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดอย่าง 7 นาโนเมตร ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในส่วนต่างๆ สูงขึ้นกว่าเดิม พร้อมระบบ 5G ที่ช่วยให้ทำงานได้ว่องไวกว่าระบบเก่าๆ มากมาย
ด้านระบบกล้อง ได้มีการออกแบบดีไซน์กรอบด้านหลังใหม่ให้เป็นรูปแบบทรงกลม ใช้ชื่อว่า “Halo Ring” โดยใส่กล้อง “Cine Camera” มีความละเอียด 40 ล้านพิกเซล เป็นกล้องที่มีความสามารถในการถ่ายวิดีโอที่มีความใกล้เคียงกับการใช้กล้องถ่ายภาพยนตร์ กล้อง “SuperSensing” มีความละเอียด 40 ล้านพิกเซล และกล้อง Telephoto ขนาด 8 ล้านพิกเซล นอกจากนี้ยังมีเลนส์ 3D Depth-Sensing
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งความโดดเด่น คือการถ่ายภาพด้วยความเร็วสูง ให้เป็น Ultra-Slow Motion บน Mate 30 Pro สามารถนำไปถ่ายสิ่งมีชีวิตที่มีความเร็ว แล้วนำมาทำให้ช้าลงจนสามารถเห็นทุกการเคลื่อนไหวได้
ในส่วนของรุ่นธรรมดานั้น จะให้มาเป็นกล้องมุมกว้าง Wide-Angle มีความละเอียด 40 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/1.8, กล้องระยะปกติ มีความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงขนาด f/2.2 พร้อมปิดท้ายด้วยกล้อง Telephoto ขนาด 8 ล้านพิกเซล รูรับแสง f/2.4 และยังมีระบบกันสั่น OIS
ในส่วนของกล้องหน้านั้น ขนาดความกว้างของ Mate 30 Pro มีเซ็นเซอร์อยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ตัว เริ่มจากตัวกล้องมีความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ตามมาด้วย Gesture Sensor ที่มีไว้เพื่ออ่านค่าการเคลื่อนไหวของมือเรา และทำงานตามคำสั่งการปัดมือแบบต่างๆ เหมือนกับ LG G8 และกล้อง 3D Depth พร้อมเซ็นเซอร์ไว้สำหรับรับแสง Ambient Light และจัลความใกล้ของตัวผู้ใช้ Proximity
ส่วนในรุ่นของ Mate 30 จะมีขนาดที่แคบกว่า โดยจะให้มาเป็นกล้องที่มีความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ที่มาพร้อมกับระบบเซ็นเซอร์รับแสง Ambient Light และยังสามารถจับความใกล้ของตัวผู้ใช้ Proximity ส่วนระบบเสียงและลำโพงจะอยู่ใต้ตัวเครื่อง
ด้านแบตเตอรี่ Mate 30 Pro มีขนาดความจุอยู่ที่ 4,500 mAh สามารถทำงานหนักได้ถึง 9.2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนในรุ่น Mate 30 ธรรมดานั้น จะมีขนาดที่เล็กลงมา ที่ 4,200 mAh ใช้งานได้นานถึง 8.2 ชั่วโมง โดยการชาร์จไฟนั้นเป็นระบบชาร์จไฟได้ไวถึง 40 วัตต์ ผ่านสายไฟปกติ และยังสามารถชาร์จแบบไร้สายได้ที่กำลัง 27 วัตต์ ผ่านแท่นชาร์จ SuperCharge
นอกจากความสามารถในเรื่องของการจับคำสั่งจากมือเราจากการปัดไปมาที่บริเวณหน้าจอแล้วนั้น Huawei ยังคงมีฟีเจอร์ “AI Rotate” ที่เป็นเซ็นเซอร์จับตาของเรา ว่ามองจออยู่หรือไม่ มองจากมุมไหน โดยเจ้าตัวระบบเซ็นเซอร์จะทำการหมุนหน้าจอให้ตรงกับมุมที่เรามอง และหากมีข้อความเข้า ก็จะแสดงผลให้กับเราเห็น แต่ถ้าหากตัวเซ็นเซอร์จับได้ว่ามีบุคคลอื่นอยู่กับเรา ระบบจะทำการแจ้งเตือนเพียงแค่ว่ามีข้อความเข้า แต่จะไม่แสดงรายละเอียดให้เห็น
ในเรื่องของสีสันของตัวเครื่องนั้น Huawei ได้ออกสีมาให้เลือกทั้งหมดถึง 4 สีด้วยกัน คือ Emerald Green, ดำ Black, เงิน Space Silver และม่วง Cosmic Purple ซึ่งมีความพิเศษอยู่ที่การไล่ผิวเคลือบจากแบบด้านที่บริเวณครึ่งของด้านล่างของตัวเครื่องไล่ขึ้นไปเป็นมันเงาถึงด้านบนของตัวเครื่อง
นอกจากนี้ยังไม่เพียงพอ Huawei ยังได้นำเสนอวัสดุด้านหลังในรูปแบบใหม่อีก 2 รุ่นด้วยกันคือหนัง Vegan Leather ที่มีมาให้เลือกถึง 2 สีด้วยกัน ได้แก่ สีเขียวและสีส้ม ที่มาพร้อมกับมาตรฐานการกันน้ำและฝั่น IP68 ในรุ่น Mate 30 Pro และ รุ่น Mate 30 เป็น IP53
และจะขาดไปไม่ดั้อย่างแน่นอนกับสมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษ ที่ได้รับการออกแบบร่วมกับ Porsche Design เพื่อเพิ่มความหรูหราให้มากยิ่งขึ้นกับ Mate 30 RS โดยวัสดุหลังเครื่องนั้นเป็นหนัง และมีแถบคาดกลางตัวเครื่อง และได้ถอดเอา Halo Ring รอบกล้องหลังออกจากสมาร์ทโฟนรุ่นพิเศษนี้
โดย Huawei Mate 30 RS มีมาให้เลือกกัน 2 สี ได้แก่สีดำและสีแดง มาพร้อมกับเคสเสริมที่มีแถบรัดนิ้ว และยังสามารถนำมาใช้เป็นขาตั้งได้อีกด้วย
อย่างที่ได้ติดตามข่าวสารกันมา Huawei ยังคงมีปัญหากับทางประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ในสมาร์ทโฟนทั้ง 3 รุ่นนี้จะไม่มีการให้บริการ Google Service มาในตัวเครื่อง ซึ่งแน่นอนว่าจะรวมไปถึง Play Store ในการติดตั้งแอพพลิเคชั่นต่างๆ โดยในตัวเครื่องนั้นจะใช้เป็นแอพของ Huawei เพียงเท่านั้น ซึ่งทางบริษัทได้ทำการดึงตัวนักพัฒนาแอพเคชั่นเข้ามาร่วมงาน ด้วยจำนวนเงินอัดฉัดมากถึง 1 พันล้านเหรียญ หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
แต่ถึงจะออกมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว ก็ยังคงไม่มีกำหนดการในเรื่องของการวางจำหน่ายออกมา แต่มีมีการพูดถึงเรื่องของราคาเรียบร้อยแล้ว โดยในรุ่น Mate 30 จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 799 ยูโร หรือประมาณ 27,000 บาท ส่วนในรุ่นของ Mate 30 Pro จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,099 ยูโร หรือประมาณ 37,200 บาท แต่ถ้าหากผู้ใช้ต้องการเป็น 5G ก็จะต้องเพิ่มจำนวนเงินอีกนิดเป็น 1,199 ยูโร หรือประมาณ 40,500 บาท ส่วนในรุ่นที่มีความหรูหราที่สุดอย่าง Huawei Mate 30 RS จะราคาอยู่ที่ 2,095 ยูโร หรือประมาณ 70,800 บาท